
“ผีปอบ” กำเนิดมาจากการที่ผู้มีวิชาทางไสยศาสตร์และมีมนต์ดำแก่กล้า สามารถใช้อำนาจอันแสนขลังจากเวทมนตร์คาถาเพื่อสั่งไปทำร้ายผู้อื่นให้ถึงแก่ชีวิตได้ ยกตัวอย่างเช่น การทำเสน่ห์ยาแฝด การฝังรูปฝังรอย การเสกหนังควายเข้าท้อง การเสกตะปูเข้าท้อง หรือใช้มนตราบังคับวิญญาณหรือภูตผีไปเข้าสิง
พระพุทธเจ้าทรงระบุว่าวิชาทางไสยศาสตร์เหล่านี้เป็นเดียรฉาน ทำให้ผู้ที่มีวิชาอาคมทางไสยศาสตร์จะต้องมีข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติกำกับอยู่ด้วย และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระวังไม่ให้เกิดการละเมิดในข้อห้ามหรือข้อปฏิบัตินั้นๆโดยเด็ดขาด หากเมื่อใดที่มีการกระทำผิดตามข้อห้ามที่ระบุไว้ ชาวอีสานจะเรียกว่า “คะลำ” ซึ่งจะก่อให้เกิดโทษหนักในข้อ “ผิดครู” ตามมา

ประเภทของผีปอบ
ปอบสามารถแบ่งออกได้หลายประเภท ดังต่อไปนี้1. “ปอบธรรมดา” หมายถึง คนที่มีร่างของปอบสิงอยู่ เมื่อคนประเภทนี้ตายไป ปอบที่สิงสู่อยู่ในคนพวกนั้นก็จะ ตายตามไปด้วย
2. “ปอบเชื้อ” หมายถึง ครอบครัวใดที่มีพ่อแม่เป็นปอบ เมื่อพ่อแม่ตายไป ลูกหลานก็จะต้องสืบทอดเชื้อสายการ เป็นปอบต่อไปด้วย หรืออีกนัยหนึ่งก็เป็นการสืบต่อทางกรรมพันธุ์ ซึ่งไม่ว่าจะเต็มใจหรือไม่เต็มใจก็ตาม ก็จำเป็นต้องเป็นปอบต่อเนื่องกันไปอย่างไม่มีวันรู้จบ
4. ปอบกักกึก (กึก ภาษาอีสานแปลว่า “ใบ้”) หมายถึง ปอบที่ไม่ยอมพูดจาจนกว่าจะมีคนถาม หรือจนกว่าญาติพี่น้องจะไปตามหมอผีมาขับไล่ ปอบตัวนั้นจึงจะยอมเปิดปากพูดความจริงว่าตนเป็นปอบของใคร หรือมีใครใช้ให้มา เข้าสิง

ลักษณะของผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง
ผู้ที่ถูกผีปอบเข้าสิง หรือที่ชาวอีสานมักเรียกกันว่า “ปอบเข้า” จะมีอาการแตกต่างกันไปต่างๆนานา บางคนอาจแสดงกิริยาอาการดุร้าย บางคนอาจจะนอนซมคล้ายคนป่วยไข้อย่างหนัก ในขณะที่บางคนจะร่ำไห้รำพันไปต่างๆนานาโดยมากผู้ที่ถูกปอบเข้าสิงจะร้องเรียกหาอาหารสุกๆ ดิบๆ ไม่ว่าจะเป็น พวกตับหมูตับไก่ต้ม และเวลากินอาหารก็จะแสดงความตะกละมูมมาม และกินได้จุผิดปกติของมนุษย์ เมื่อญาติพี่น้องรู้ว่าคนป่วยผู้นั้นถูกปอบเข้าสิง ก็มักจะไปตามหมอผีให้ช่วยมาขับไล่ผีปอบให้ออกจากคนป่วยผู้นั้น
วิธีการไล่ปอบให้ออกจากร่างมนุษย์
มีอยู่หลายวิธีตามแต่แนวทางที่หมอผีผู้นั้นได้ร่ำเรียนมา บางคนอาจจะเอาพริกแห้งมาเผา แล้วรมควันจนคนป่วยผู้นั้นสำลักควันน้ำตาไหลพาก และเมื่อปอบออกจากร่างผู้ป่วยไปได้แล้ว หมอผีก็จะทำการข่มขู่ โดยการสอบถามว่าผีปอบตัวนั้นเป็นใครมาจากไหน เมื่อผีปอบรับสารภาพ หมอผีก็จะใจดีปล่อยปอบตัวนั้นไปผู้ป่วยที่ผีปอบออกจากร่างไปแล้ว ก็จะค่อยๆได้สติในภายหลัง เมื่อฟื้นขึ้นมานัยน์ตาที่เคยแดงก่ำเนื่องจากถูกควันพริกรมจะหายไปทันที แต่เจ้าของปอบกลับจะมีอาการนัยน์ตาแดงก่ำด้วยสายเลือด จนไม่อาจสู้หน้าใครได้ และต้องซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อไม่ให้ใครพบหน้า

อีกหนึ่งวิธีที่หมอผีนิยมใช้ขับไล่ปอบ ก็คือการนำเอาสัตว์น่าเกลียดน่ากลัวมาข่มขู่ปอบ ตัวอย่างสัตว์ เช่น คางคก ตุ๊กแก งู เป็นต้น สำหรับกรณีนี้มักใช้กับคนที่ถูกปอบเพศหญิงเข้าสิง เพราะเมื่อผีปอบเหล่านี้โดนข่มขู่ด้วยสัตว์ ก็จะเกิดอาการขยะแขยง และยอมออกจากร่างที่เข้าสิงไปอย่างง่ายดาย
ส่วนผีปอบที่มีฤทธิ์แก่กล้า เวลาที่เข้าสิงใครจะไม่ยอมออกจากร่างง่ายๆ กล่าวกันว่าใครที่ผีปอบประเภทนี้เข้าสิงมักจะถูกปอบสิงจนตาย การไล่ผีปอบจะพบข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่งคือ จะปรากฏเป็นก้อนกลมปูดนูนขึ้นที่ใต้ผิวหนัง เวลาที่หมอผีจี้ก้อนกลมๆนี้ด้วยไพลเสก ปอบที่แก่กล้าจะทำให้ก้อนกลมนี้จะเลื่อนหนีไปได้ และจะเป็นการลวงหมอผีว่าวิญญาณของปอบออกจากร่างบุคคลนั้นไปแล้ว ทั้งที่จริงยังคงอยู่ โดยมากปอบมักจะเลื่อนก้อนกลมหนีไปซ่อนตามซอกขาหนีบหรืออวัยวะเพศ ทำให้หมอผีหาไม่พบ
หมอผีบางรายอาจมีวิธีไล่ปอบชนิดดุเดือด เพื่อทำให้คนเป็นปอบอับอายขายหน้าต่อหน้าสาธารณชน โดยหมอผีจะไปหาหม้อดินของแม่ม่ายที่มีเขม่าควันไฟจับหนา มาครอบศีรษะของคนที่ถูกปอบสิง จากนั้นจะใช้มีดโกนขูดเขม่าควันไฟคล้ายๆกับการโกนผมให้หมดไปครึ่งศีรษะ แล้วจึงปล่อยให้ปอบออกจากร่างไป วิธีการไล่ปอบเช่นนี้จะทำให้ผู้เป็นปอบ หรือผู้ที่เลี้ยงปอบเอาไว้เส้นผมแหว่งหายไปครึ่งศีรษะ ทำให้ไม่กล้าหนีออกจากห้องไปไหน และต้องหลบซ่อนอยู่แต่ในห้อง หรืออาจต้องใช้ผ้าปกคลุมปิดศีรษะตลอดเวลา

ที่มา: Tumnandd
- Advertisement -