- Advertisement -
loading...

กรรมตามทัน!! "อั้ม เนโกะ" โผล่ให้สัมภาษณ์ "BBC ไทย" อ้างถูกข่มขู่เอาชีวิต จนต้องย้ายที่อยู่ ครอบครัวเมืองไทยเดือดร้อนหนัก แต่ยังไม่สำนึก!!? (มีคลิป)


ภายหลังมีการเคลื่อนไหวของหมู่คนไทยในการไล่ล่าติดตามขบวนการจาบจ้วง ละเมิดสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกรณีของ นายศรันย์ ฉุยฉาย หรือ "อั้ม เนโกะ" ซึ่งมีพฤติการณ์ชั่วร้ายเหยียบย่ำความรู้สีกคนไทยในวันที่ทุกข์เศร้าที่สุด และต่อมาทำให้ พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ ต้องประกาศเป็นแกนนำในการติดตามกลุ่มบุคคลที่ให้ความช่วยเหลือเหล่านั้น

จนต่อมา สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย ซึ่งเคยช่วยเหลือ "ตั้ง อาชีวะ" ผู้ต้องหาคดีอาญามาตรา 112 ลี้ภัยไปอาศัยในประเทศนิวซีแลนด์ สวนทางความรู้สึกของคนไทยต้องรีบออกแถลงการณ์ว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ "อั้ม เนโกะ" โดยการลี้ภัยไปอยู่ในประเทศฝรั่งเศสนั้นได้รับการพิจารณาจากรัฐบาลฝรั่งเศสเท่านั้น


ขณะเดียวกันทางด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง ได้แสดงความเชื่อมั่นว่ามาตรการกดดันทางสังคมต่อ "อั้ม เนโกะ" กำลังเริ่มได้เป็นผลเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ



ล่าสุด มีข้อมูลการเคลื่อนไหวของ "อั้ม เนโกะ" โผล่เปิดปากให้สัมภาษณ์กับ BBC ไทย โดยยอมรับว่าชีวิตช่วงนี้ได้รับการข่มขู่ตลอดเวลาและต้องเปลี่ยนที่พัก เนื่องจากมีผู้เผยแพร่สถานที่พัก และสถาบันที่ศึกษาอยู่ในฝรั่งเศส รวมถึงตนยังได้ไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อเอาผิดในทางอาญาว่ามีผู้ข่มขู่คุกคามถึงชีวิต แม้กฎหมายฝรั่งเศสจะให้การคุ้มครองการกระทำของตนก็ตาม

นอกจากนี้ "อั้ม เนโกะ" ยังอ้างด้วยว่า ขณะนี้ครอบครัวทางเมืองไทยซึ่งตัดขาดจากตนไปแล้ว ได้ถูกข่มขู่เช่นกัน และบิดาได้ถูกเจ้าหน้าที่ให้ติดต่อตนเพื่อให้ยุติการกระทำ อย่างไรก็ดี ตนได้ตัดสินใจดีแล้วก่อนเผยแพร่วิดีโอทางเฟซบุ๊ก เพราะเชื่อมั่นในอุดมการณ์และถือเป็นความชอบธรรมที่กระทำได้

หลังจากคลิปดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ออกมา มีผู้ใช้เฟซบุ๊กเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก ทั้งการเรียกร้องให้ BBC ไทย แจ้งที่อยู่หลักแหล่ง "อั้ม เนโกะ" ให้กับทางการไทยเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย และบางส่วนแสดงความคิดเห็นสาปแช่งขอให้ "อั้ม เนโกะ" ชดใช้กรรมในสิ่งที่กระทำขึ้น เพราะสถาบันเบื้องสูงมีพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นต่อพสกนิกรคนไทย ทั้งพระราชกรณียกิจและโครงการพระราชดำริเพื่อคุณภาพชีวิตคนไทยทั้งประเทศ


ที่มา: เฟซบุ๊กเพจ บีบีซีไทย - BBC Thai
Google Plus
- Advertisement -